บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิธีของผมได้ผล


ต่อไปคุณ นศ. มธก. [IP: 203.131.211.155] 19 Febuary 2010 00:59 เข้ามาถาม ดังนี้


ขออภัยท่าน ดร.นะครับ บังเอิญผ่านมา อยากรู้จังว่า ท่านรู้ได้ไงว่าเรื่องมันเป็นยัง

ท่านไปฟังเเร็กเชอร์จากหลวงพ่อสดหรือท่านไปเจอนิพพานมาเเล้ว ผมดูไปดูมาท่านก็ฟังจากคนอื่นมาหรือไม่ก็ดูข้อมูลจากทางเน็ต

คิดในเเง่เหตุผลเราจะมาเถียงกันทำไมว่านิพพานเป็นยังไง เพราะเราพิสูจน์ไม่ได้

พุทธองค์ทรงสอนให้เราทำความดีเเละปฎิบัติเพื่อเข้านิพพาน เราเอาเวลาไปปฏิบัติไม่ดีกว่าหรือ

ไม่ใช้มาเถียงกันในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เเล้วจะเสียเวลาในการว่าคนอื่นปัญญาอ่อนทำไม หรือว่าท่านศึกษาเเละปฏิบัติเท่าท่านหรือมีความรู้ทางนี้มากกว่าคนที่กล่าวว่าปัญญาอ่อน

เเล้วท่านจะเอาอะไรมาพิสูจน์เรื่องนี้

ด้วยความเคารพ

ผมตอบไป ดังนี้ (22 Febuary 2010 11:06)

เรียนท่าน นศ.มธก. [IP: 203.131.211.155]

ต้องขอบอกความเป็นมาก่อน คือ บทความในส่วนนี้นั้น มีผู้มาโจมตีว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกายไปแล้ว ทำไมลูกศิษย์จึงเอามาสอนกันอีก ทำนองนี้ แต่โจมตีหนักกว่านี้

การโจมตีที่ว่านั้น หลักฐานในทางวิชาการไม่มีเลย คือ ไปเอาหาหลักฐานมาจากหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ใช่หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นผู้เขียนบ้าง เป็นคำบอกเล่าหรือคำสอนจากคนอื่นๆ บ้าง เป็นต้น

ผมเองซึ่งกำลังปฏิบัติธรรมตามสายวิชชาธรรมกายอยู่ และเป็นวิทยากรสอนด้วย จึงถูกพาดพิงเต็มๆ ผมก็เลยออกมาแก้ต่างว่า ข้อความโจมตีเหล่านั้นมัน ไม่จริงไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ยอมรับได้ในทางวิชาการ

ที่นี้สำนวนภาษาทำไมถึงได้ออกมาอย่างนั้น?

คือ บทความนี้ผมต้องการให้คนที่อยู่ในสายแวดวงวิชชาธรรมกายด้วยกันอ่านมากกว่าบุคคลในสายอื่นๆ คือ ผมไม่เคยคิดว่า ข้อเขียนในเว็บไซต์แบบนี้ จะเปลี่ยนความเชื่อของคนได้ ยิ่งเป็นความเชื่อในทางศาสนาด้วยแล้ว

ดังนั้น ข้อเขียนของผมดังกล่าวนี้ ผมจึงเขียนเพื่อให้กำลังใจกับบุคคลที่อยู่ในสายวิชชาธรรมกายด้วยกันว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว คำติฉินนินทาว่าร้ายต่างๆ นั้น มันไม่จริงในทางวิชาการ

คือไม่ต้องการโจมตีกลับไปที่สายพองยุบ หรือสายนามรูป หรือพุทธวิชาการแต่อย่างใด สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเขียนแล้วไม่มีใครมาอ่าน คนเขียนมันก็เหี่ยวแห้งหัวใจเหมือนกัน ข้อเขียนบางข้อเขียนจึงต้องยุแหย่ให้โกรธกันบ้าง ให้โมโหกันบ้าง มันถึงจะบรรลุตามวัตถุประสงค์

ที่นี้เรื่องนิพพาน

ในกลุ่มของผม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ตำแหน่งสุดท้ายในข้าราชการก็คือ ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดจันทบุรี มีความคุ้นเคยกับพระนิพพาน อายนตะนิพพาน และนิพพานเป็นอย่างดี

เพราะ เราสอนกันเป็นประจำ ฝึกกันเป็นประจำ บางคนถึงแม้จะไม่เห็นเอง แต่ก็ได้พูดคุยถกเถียงกันเป็นประจำ

ถ้าสงสัย หรือสนใจประการใด ก็ลองมาศึกษากันได้ ผมรับรองว่า ในฐานะที่จบปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ) ของธรรมศาสตร์ ยืนยันได้เลยว่า ที่ผมเชื่อและศึกษากันอยู่ทุกวันนี้ สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิชาการ และอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเชื่ออย่างเดียว

ต่อไปคุณงง [IP: 125.26.117.178] 26 August 2010 15:07 เข้ามาอีก ดังนี้

จบแบบ ลอก เขาจบมาหรือเปล่าดร.

คุณงงเข้ามาให้ความเห็นของผมหลายครั้งหลายหน แต่ผมเห็นว่า คุณงงนี้ ความรู้น้อยมาก การใช้เหตุผลในทางวิชาการก็น้อยมาก ผมเลยไม่สนใจ ไม่ลบ แต่ไม่เสวนาด้วย

ต่อไปคุณ [IP: 58.11.67.183] 10 September 2010 19:28 เข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

ดร.ก็คือกิเลส ดร. ทิฐิมานะสูง ยึดติดแต่ทฤษฎี คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น เอาเวลาไปปฏิบัติ ให้คลายความยึดติดนี้จะดีกว่า

ปล. ดร.เมืองไทย ที่เขาดี เก่ง มีอีกเยอะ รู้จักยอมรับ และทำลายทิฐิมานะตัวนี้บ้าง

ผมไปตอบความเห็นของคุณ [IP: 58.11.67.183] นี้เช่นกันเพราะเห็นว่า ไร้สาระ

ต่อไปมีคนใช้ชื่อว่า “ศัทธาในพระพุทธ” [IP: 223.205.41.134] 19 January 2011 01:10 เข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

"สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเขียนแล้วไม่มีใครมาอ่าน คนเขียนมันก็เหี่ยวแห้งหัวใจเหมือนกัน ข้อเขียนบางข้อเขียนจึงต้องยุแหย่ให้โกรธกันบ้าง ให้โมโหกันบ้าง มันถึงจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ " เมื่ออ่านถึงประโยคนี้แล้วข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าการศึกษาเรื่องธรรมในพระศาสนาของผู้ที่เขียนนั้นได้หยุดชงักหรือไม่สามารถไปต่อถึงเหตุและผลตามขั้นตอนคำสอนของพนะพุทธ อันเนื่องมาจากประโยคดังกล่าว ประการที่

1. แฝงด้วยความปราถนาที่อยากจะให้มีผู้สนใจ ซึ่งในทางพระศาสนาเรียกว่า "กาม" คือความ "อยาก" หรือกิเลสตัวหนึ่งขั้นพื้นฐาน โดยมิได้เสนอในรูปแบบวิทยาทาน หรือเป็นกลางให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญานของตนเอง เพื่อสอดแทรกและตอบสนองความเชื่อของตนที่มีเท่านั้น

2. ได้แฝงการยุแยงให้เกิดประเด็นขัดแย้งกันในกลุ่มผู้อ่านซึ่งมีความเชื่อความศัทธาเป็นของตนให้ขยายวงกว้างเพื่อตอบสนองทฤษฎีและบทความของตนโดยหวังผลเพื่อให้เกิดประเด็นสนับสนุนวิชาการของตน ถือเป็น กรรม ประเภทหนึ่ง(ไปศึกษาเรื่องกรรมเอง) โดยหวังผลประการไดมิทราบตามแต่ท่านทั้งหลายจะพิจจาณา

ข้าพเจ้าจะขอกราบเรียนผู้เขียนเพียงว่าพระพุทธเจ้ามิได้สอนให้เชื่อเพียงอย่างเดียว หากแต่ทรงสอนเน้นหนักไปในทางให้ปฏิบัติโดยสิ้นเชิงเพื่อตอบทุกปัญหา พระองค์ได้สอนให้ค้นหาคำตอบโดยการปฏิบัติ และใช้ปัญญาวิเคราะห์เหตุที่เกิดอย่างมีเหตุและผลด้วยตนเอง(คำตอบจะประจักแก่ผู้ปฏิบัติถึงปฏิบัติชอบ)

นิพพาน พระพุทธองค์ทรงบัญญัติว่า คือการดับ ข้าพเจ้าขอเปรียบดั่งควันบุหรี่เมื่อพ่นสู่อากาศธาตุไม่กี่วินาทีก่ดับสูญไม่สามารถเรียกกลับคงสภาพควันธาตุ ดับหายไปแล้วก็ดับหายไปเลย ท่านสาธุชนทั้งหลายเข้าใจคำว่า ดับ เป็นประการใดหากยังเข้าใจว่าการดับมีตัวตนอยู่ก่จงอยู่อย่างมีตัวตนต่อไป

หากไม่สามารถละจาก อัตตาและอนัตตาได้ฉันได ก่ไม่มีหนทางไปสู่นิพพานได้ฉันนั้น ซึ่งนิพพานเป็นตัวสุดทายที่แยกออกจากอัตตาและอนัตตา คือการ"ดับ"

สุดท้ายขอให้ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ซึ่งสติ อย่าได้พยาบาทจองเวรจองกรรมต่อกันขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านจงมีความเจริญ

ปล.พระศาสนาไม่ได้จำกัดวุฒิการศึกษาผู้ไม่ได้เรียนก็สามารถบรรลุธรรมได้

ผมตอบไป ดังนี้ (19 January 2011 08:15)

เรียน คุณเขียนภาษาไทยใช้ไม่ได้เลย

1) ที่คุณเขียน ผมไม่เห็นเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า หลวงพ่อสด เลิกสอนวิชชาธรรมกาย เรื่องปัญญาอ่อนทางวิชาการของคนปัญญาอ่อน" เลย

2) ถ้าอยากจะเขียนให้ดีและมีการตรวจสอบก่อน ควรเขียนความเห็นใน Notepad เสียก่อน ตรวจสอบให้ดี แล้วค่อย save มาวางในบันทึก

3) ถ้ายังไม่รู้ ก็อ่านเพิ่มเติมให้มากๆ เสียก่อน อย่าไปคิดว่า มีโอกาสเขียน ฉันก็จะเขียน

4) ผมจะมีกุศโลบายในการเขียนอย่างไรก็ตาม ก็ได้ผล ก็คุณไม่ค่อยรู้อะไร ยังมาเขียนในบันทึกของผมเลย

5) ถ้ายังไม่รู้มากพอ เขียนในสมุดบันทึกของตนเองและอ่านคนเดียวดีกว่า

6) ผมเป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกาย ผมว่า ผมมีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติธรรมมากพอควร คิดว่ามากกว่าคุณด้วยซ้ำ

7) สุดท้ายเลย การที่มีความรู้ในทางศาสนานิดหน่อย อยากจะมาแสดงความเห็นแบบอ่านแล้วดูเข้าท่า แต่หาเนื้อสาระไม่ได้ ไปให้ความเห็นที่อื่นครับ

ที่นี่ ของจริง ต้องการความรู้และความเข้าใจที่แท้จริง...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น