บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อัตตาซ่นตีนของ Ritti


อันธพาล Ritti Janson เข้ามาอาละวาดอีกครั้งหนึ่ง ในความคิดเห็นที่ 51 [16 ก.พ. 51 13:32:18] มีการยกเนื้อหาจากพระไตรปิฎกประกอบด้วย ดังนี้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า
- เป็นการมา
- เป็นการไป
- เป็นการตั้งอยู่
- เป็นการจุติ
- เป็นการอุปบัติ
- อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
- มิได้เป็นไป
- หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ตรงไหนครับ ที่ตรัสว่า เป็นอัตตา ??????

พระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันปฏิ เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อทาน-อติวุตตกะ-สุตตนิบาต
อุทาน ปาฏลิคามิยวรรค ที่ 8

๑. นิพพานสูตรที่ ๑
[๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี

ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน

ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่

ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอาตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไปหาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ

อันธพาล Ritti Janson ตามมาติดๆ ด้วยความคิดเห็นที่ 52 [16 ก.พ. 51 13:36:43] ดังนี้

พระนิพพานท่านเรียกว่า อายตนะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยแก่มรรคญาณและผลญาณเป็นต้น

นี่ก็อธิบายเอาไว้ชัดเจนแล้วนี่ครับว่าอะไรเป็นอะไร และก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดในทุกๆแห่ง ทั้งในพระไตรปิฎกและอรรถกถา

ในความคิดเห็นที่ 52 นี้  อันธพาล Ritti Janson ยังยกอรรถกถาปฐมนิพพานสูตร ด้วย ดังนี้

ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ อรรถกถาปฐมนิพพานสูตร

ปาฏลิคามิยวรรค ปฐมนิพพานสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ซึ่งภาวะที่ภิกษุเหล่านั้น มีการกระทำเอื้อเฟื้อในการฟังธรรมกถาอันเกี่ยวด้วยพระนิพพานนั้น.

บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศภาวะที่พระนิพพานมีอยู่โดยปรมัตถ์ โดยมุขคือพระธรรมเทศนาที่ผิดตรงกันข้ามจากธรรมนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ แปลว่า มีอยู่ อธิบายว่า เกิดโดยปรมัตถ์.

บทว่า ภิกฺขเว เป็นคำเรียกภิกษุเหล่านั้น.

ถามว่า ก็การเปล่งอันยังปีติและโสมนัสให้ตั้งขึ้นก็ดี อันยังธรรมสังเวชให้ตั้งขึ้นก็ดี ไม่มุ่งถึงคนรับธรรม ชื่อว่าอุทาน และอุทานนั้นมาในสูตร มีประมาณเท่านี้ เช่นนั้นเหมือนกันมิใช่หรือ แต่เพราะเหตุไร ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเปล่งอุทาน จึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น?

ตอบว่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น อันเกี่ยวด้วยพระนิพพาน เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าใจ ก็ทรงเกิดปีติโสมนัสขึ้น ด้วยหวนระลึกถึงคุณของพระนิพพาน จึงทรงเปล่งอุทาน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุเหล่านั้นว่า สภาวธรรมทั้งหมดในพระศาสนานี้ เว้นพระนิพพาน ที่เป็นไปเนื่องกับปัจจัยเท่านั้นเกิดขึ้นได้ ที่ปราศจากปัจจัย หาเกิดขึ้นไม่ แต่นิพพานธรรมนี้เกิดในปัจจัยไหน และมีพระประสงค์จะให้พระภิกษุเหล่านั้นเข้าใจ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ภิกฺขเว ตทายตนํ ดังนี้.

พึงทราบว่า ไม่ใช่กระทำให้ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้รับโดยส่วนเดียวเท่านั้น.

บทว่า ตทายตนํ ได้แก่ เหตุนั้น.

ท อักษร ทำการเชื่อมบท จริงอยู่ พระนิพพานท่านเรียกว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยแก่มรรคญาณและผลญาณเป็นต้น เหมือนรูปารมณ์เป็นต้น เป็นอารัมมณปัจจัยแก่จักขุวิญญาณเป็นต้น. ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศถึงสังขตธาตุว่า มีอยู่โดยปรมัตถ์แก่ภิกษุเหล่านั้น.

ในข้อนั้น มีนัยแห่งธรรมดังต่อไปนี้ เพราะสังขตธรรมมีอยู่ แม้อสังขตธาตุก็มี เพราะมีความเป็นคู่ปรับต่อสภาวธรรม เหมือนอย่างว่า เมื่อทุกข์มีอยู่ แม้สุขที่เป็นคู่ปรับกับทุกข์นั้นก็มีอยู่เหมือนกัน ฉันใด เมื่อความร้อนมีอยู่ แม้ความหนาวก็มีอยู่ เมื่อบาปธรรมมีอยู่ แม้กัลยาณธรรมก็มีอยู่เหมือนกัน.

สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อทุกข์มี ชื่อว่าสุขก็มีฉันใด เมื่อภพมี วิภพ สภาวะที่ปราศจากภพก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น เมื่อความร้อนมี ความเย็นก็มีแม้ฉันใด เมื่อไฟ ๓ กองมี พระนิพพานก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น เมื่อบาปธรรมมี กัลป์ยาณธรรมก็มีฉันใด เมื่อความเกิดมี ความไม่เกิดก็จำต้องปรารถนาฉันนั้น.

เท่านั้นยังไม่พอ นี้  อันธพาล Ritti Janson ยังตามมาติดๆ ด้วยความคิดเห็นที่ 53 [16 ก.พ. 51 13:43:22] ดังนี้

ที่เรียก นิพพาน ว่าอายตนะนั้นหมายถึง นิพพานเป็นอารมณ์ของจิต อริยะบุคคลมี นิพพานเป็นอารมณ์ พระไตรปิฎกระบุเอาใว้อย่างนี้ ชัดเจน !!!!!!

อันธพาล Ritti Janson ยังยกพระไตรปิฎกมาสนับสนุนอีก ดังนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

[๒๕๙] ในขณะโสดาปัตติมรรค อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร วิริยินทรีย์มีการประคองไว้เป็นบริวาร สตินทรีย์มีความตั้งมั่นเป็นบริวาร สมาธินทรีย์มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นบริวาร ปัญญินทรีย์มีความเห็นเป็นบริวาร มนินทรีย์มีความรู้แจ้งเป็นบริวาร โสมนัสสินทรีย์มีความยินดีเป็นบริวาร ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในความสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวาร

ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะโสดาปัตติมรรค นอกจากรูป ซึ่งมีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นกุศลทั้งหมดนั่นแล ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นธรรมเครื่องนำออก เป็นธรรมเครื่องให้ถึงความไม่สั่งสม เป็นโลกุตตระมีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะโสดาปัตติมรรค อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร มีธรรมอื่น ๆ เป็นบริวาร มีธรรมที่อาศัยกันเป็นบริวารมีธรรมที่ประกอบกันเป็นบริวาร เป็นสหรคต เกิดร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบด้วยกัน ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น ฯ

[๒๖๐] ในขณะโสดาปัตติผล อัญญินทรีย์มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร ... ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะโสดาปัตติผล ทั้งหมดนั่นแลเป็นอัพยากฤต นอกจากรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะโสดาปัตติผล อัญญินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร ... ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญินทรีย์นั้น ฯ

[๒๖๑] ในขณะสกทาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะสกทคามิผล ฯลฯ ในขณะอนาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะอนาคามิผล ฯลฯ

ในขณะอรหัตตมรรค อัญญินทรีย์มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร ฯลฯ ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในความสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวารธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะอรหัตตมรรค นอกจากรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ทั้งหมดนั่นแลเป็นกุศลล้วนไม่มีอาสวะ เป็นธรรมเครื่องนำออก เป็นธรรมเครื่องให้ถึงความไม่สั่งสม เป็นโลกุตตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะอรหัตตมรรคอัญญินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร ... ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญินทรีย์นั้น ฯ

[๒๖๒] ในขณะอรหัตตผล อัญญาตาวินทรีย์มีสัทธินทรีย์ ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร วิริยินทรีย์มีการประคองไว้เป็นบริวาร สตินทรีย์มีความตั้งมั่นเป็นบริวาร สมาธินทรีย์มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นบริวาร ปัญญินทรีย์มีความเห็นเป็นบริวาร มนินทรีย์มีความรู้แจ้งเป็นบริวาร โสมนัสสินทรีย์มีความยินดีเป็นบริวาร ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในการสืบต่อ ที่กำลังเป็นไป เป็นบริวาร

ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะอรหัตตผล ทั้งหมดนั่นแลเป็นอัพยากฤตนอกจากรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะอรหัตตผล อัญญาตาวินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวารมีธรรมอื่น ๆ เป็นบริวาร มีธรรมที่อาศัยกันเป็นบริวาร มีธรรมที่ประกอบกันเป็นบริวาร เป็นสหรคต เกิดร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบด้วยกันธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญาตาวินทรีย์นั้น อินทรีย์ ๘ หมวดเหล่านี้ รวมเป็นอาการ ๖๔ ด้วยประการฉะนี้ ฯ

อันธพาล Ritti Janson มาตบท้ายด้วยคำถาม โดยความคิดเห็นที่ 54 [ 16 ก.พ. 51 13:47:10 ] ดังนี้

เอ้า ........ !!!!!

มีข้อความที่ตรงไหน หรือไม่ ที่ตรัสว่า นิพพานอัตตา ? หรือตรัสว่า อายตนะ คืออัตตา ถ้าไม่มี มันแปลว่าอะไรครับ ? ควรเรียกว่า กล่าวตู่บิดเบือน ใช่หรือไม่ ?

อ้างว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เชื่อพุทธพจน์ ไม่เชื่อคำตรัสของพระพุทธองค์

ทุเรศจริงๆ

ในความคิดเห็นที่ 55 หมอมาเอง (drxbeam) - [16 ก.พ. 51 14:02:14] ไม่รู้มาเกี่ยวข้องกับเขาด้วยเรื่องอะไร จะว่ามารักษาโรคก็ไม่ใช่  คุณหมอมาเองมาให้ความเห็น ดังนี้

กรุณาดู ความเห็นที่ 46 , 49 , 54 นะครับ  มีแต่คำหยาบคาย    ทำไมปล่อยให้หลุดมาได้ยังไงครับ  คุณ ฤ.ธ.   เวปมาสเตอร์ กรุณาจัดการให้หน่อยนะครับ

คนเขาแสดงความเห็น  ก็ควรเคารพความเห็นของเขานะครับ  จะถูกจะผิด ก็ใช้เหตุผลคุยกันนะครับ ไม่ใช่สักแต่ใช้อารมณ์

คุณหมอมาเอง (drxbeam) - [ 16 ก.พ. 51 14:04:58 ] เข้ามาติดๆ ในความคิดเห็นที่ 56 ดังนี้

คนไม่เคยศึกษา  ไม่เคยเปิดใจจะศึกษา  และไม่ทดลอง ย่อมไม่อาจรับรู้ได้ว่าวิชชานั้นๆมีจริงหรือไม่  และ ดีจริงหรือไม่  เนื้อหาเป็นอย่างไร  มีอานิสงส์จากการศึกษาอย่างไร

ถ้าไม่ลองศึกษาให้ถ่องแท้  แล้วมาตำหนิติเตียน  ก็ไม่ต่างจาก สุนัขจิ้งจอกที่คิดว่า องุ่นนั้นเปรี้ยว  เพียงเพราะกระโดดเอื้อมไม่ถึง

อันธพาล Ritti Janson [16 ก.พ. 51 14:18:03] เข้ามาให้ความคิดเห็นที่ 57 ดังนี้

อัตตา เป็นของต่ำ ฉนั้น ผมเรียกว่า อัตตาซ่นตีน ก็ถูกต้องแล้ว ถ้าจะค้าน ก็ไปหามาว่า มีพุทธพจน์คำไหน ที่ยกย่องว่า อัตตาเป็นของสูงของดี (????)

แล้วก็อย่ามาทำเป็นสู่รู้ ว่าผู้อื่นไม่รู้วิชชาธรรมกาย กรูรู้จักวิชชานี้ ก่อนที่เมิงจะเกิดอีกม้าง !!!!!!

คุณรักเธอเสมอมา [ 16 ก.พ. 51 15:23:36 ] เข้ามาตอบ อันธพาล Ritti Janson ในความคิดเห็นที่ 59 ดังนี้

หลวงพ่อสดเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือไม่ กระทู้นี้กำลังถกกันเรื่องนี้ครับคุณ Ritti Janson รู้สึกความเห็น 57  ต้องไปกระทู้แนะนำครับ

ขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตดู อันธพาล Ritti Janson โมโหโกรธแค้นโกรธามาก ทั้งๆ ที่ความคิดเห็นของเจ้าของกระทู้ ของคนอื่นๆ ก็ไม่รุนแรงอะไร ทำไม อันธพาล Ritti Janson ถึงโมโหกราดเกรี้ยวถึงอย่างนั้น

ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมวิพากษ์วิจารณ์ อันธพาล Ritti Janson แต่ผมไม่ได้บอกชื่อไว้  อันธพาล Ritti Janson ก็ไม่กล้ารับสมอ้าง เพราะ ข้อเขียนที่ผมเอาไปวิพากษ์วิจารณ์นั้น อันธพาล Ritti Janson ผิดพลาดจริง

ผิดพลาดอย่างแก้ไขไม่ได้ จึงออกมาโวยวายในกระทู้นี้

คุณรักเธอเสมอมา แกก็ปัญญาอ่อนพอๆ กัน คือ เอาบทความของผมไปลงดื้อๆ ไม่ศึกษาให้ละเอียด ไม่ถามให้กระจ่างแจ้ง พอ อันธพาล Ritti Janson  ยกข้อมูลมาใหญ่โต  เอามาขู่ ว่างั้นเถอะ ก็ไปกันไปเป็น

หมอมาเองก็เหมือนกัน ควรจะโต้แย้งไปที่เนื้อหา ก็ไปจัดระเบียบ เหมือนคุณระเบียบรัตน์เลย

ข้อมูลของ อันธพาล Ritti Janson นั้น ไม่มีโต้แย้งไปที่ “นิพพานเป็นนิจจัง สุขัง อัตตา” เลย อันธพาล Ritti Janson ก็ไม่เข้าใจ

ถ้าจะยืนยันกันเรื่องนี้ ควรใช้นิพพานสูตรเป็นหลัก  สำหรับนิพพานสูตรที่ อันธพาล Ritti Janson ก็ไม่ได้ช่วยน้ำหนักให้กับ อันธพาล Ritti Janson แต่อย่างใด

ซึ่งผมจะรวบรวมมาวิพากษ์วิจารณ์ในคราวเดียวกัน  ตอนนี้ขอนำเสนอเฉพาะข้อมูลไปก่อน...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น